ความช่วยเหลือด้านเทคนิคสำหรับการปรับปรุงสุขาภิบาลและการจัดการขยะ ประเทศเมียนมาร์

รัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat) ผ่านทางองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency, JICA) ร่วมกับหน่วยงานในย่างกุ้งเพื่อปรับปรุงบริการด้านสุขาภิบาลและการจัดการขยะในย่างกุ้งผ่านเงินให้เปล่าเพื่อการช่วยเหลือด้านเทคนิคจำนวน 7.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการวางแผนโครงการนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนประมาณ 25,000 ครัวเรือนและโรงเรียนมากกว่า 250 แห่ง

ความช่วยเหลือด้านเทคนิคสำหรับการปรับปรุงสุขาภิบาลและการจัดการขยะ ประเทศเมียนมาร์

เครื่องมือจัดหาเงินทุนและจำนวนเงิน

รัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat) ผ่านทางองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency, JICA) ร่วมกับหน่วยงานในย่างกุ้งเพื่อปรับปรุงบริการด้านสุขาภิบาลและการจัดการขยะในย่างกุ้งผ่านเงินให้เปล่าเพื่อการช่วยเหลือด้านเทคนิคจำนวน 7.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการวางแผนโครงการนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนประมาณ 25,000 ครัวเรือนและโรงเรียนมากกว่า 250 แห่ง

ความเป็นมา

ภูมิภาคย่างกุ้งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของ COVID-19 และหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพและสังคมและเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคอย่างรุนแรงที่สุดคือคนยากจนในเขตเมืองย่างกุ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรประมาณ 400,000 คนที่อาศัยในชุมชนแออัด 423 แห่งของย่างกุ้ง

แม้ว่าการจัดหาน้ำที่ปลอดภัย การจัดการสุขาภิบาลและขยะ และภาวะที่มีสุขอนามัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปกป้องสุขภาพของมนุษย์ระหว่างการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ รวมถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่ก็ยากที่จะดำเนินการสิ่งเหล่านี้ได้จริงในชุมชนแออัด ความแออัด การออกแบบบ้านเรือน และการขาดการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการจัดการน้ำ สุขาภิบาล และขยะ ทำให้การรักษาระยะห่างทางกาย/ทางสังคม และแนวปฏิบัติเพื่อการป้องกันง่ายๆ เช่น การล้างมือเป็นประจำกลับกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก นอกจากนี้ ครัวเรือนส่วนใหญ่ต้องอาศัยการทำงานแบบวันต่อวันเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการครองชีพของตนเองและไม่มี เงินออมหรือเงินสำรองให้พึ่งพาเพื่อชำระค่าบริการพื้นฐาน

 

การดำเนินงาน

UN-Habitat ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินทุนของ JICA ทำงานร่วมกับพันธมิตรในเมียนมาร์เพื่อความมั่นใจว่าจะมีการเข้าถึงบริการด้านสุขาภิบาลและการจัดการขยะได้อย่างยั่งยืนในชุมชนแออัดในย่างกุ้ง รวมทั้งโรงเรียนและครัวเรือนทั้งหลาย

พันธมิตร ได้แก่ หน่วยงานรัฐบาล เช่น รัฐบาลภูมิภาคย่างกุ้ง (Yangon Regional Government, YRG) คณะกรรมการพัฒนาเมืองย่างกุ้ง (Yangon City Development Committee, YCDC) กรมการพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัย (Department of Urban and Housing Development, DUHD) รวมทั้งอาสาสมัครชุมชนท้องถิ่นและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร

โครงการนี้มีองค์ประกอบหลักสามประการ องค์ประกอบ A มุ่งเน้นการก่อสร้างระบบน้ำประปาเพื่อการส่งมอบน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัยและเชื่อถือได้ให้กับชุมชนในชุมชนแออัด นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างขีดความสามารถของชุมชนในการดำเนินงานและบำรุงรักษาระบบน้ำประปาของตนและจ่ายค่าบริการน้ำประปา องค์ประกอบ B ดูแลสนับสนุนครัวเรือนให้มีการเก็บขยะในครัวเรือนอย่างเหมาะสม มีการแยกและกำจัดขยะอย่างปลอดภัยโดยนำไปยังภาชนะเก็บรวบรวมขยะ รวมถึงจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสำหรับการเก็บขยะและการขนส่งในชุมชน (เช่น รถบรรทุกเก็บขยะ รถสามล้อเข็นขยะ) องค์ประกอบ C พยายามเสริมสร้างขีดความสามารถของชุมชน และส่งเสริมความรู้ด้านสุขอนามัย และสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแนวทางปฏิบัติที่ดี

ผลลัพธ์

โครงการนี้มีการวางแผนเบื้องต้นว่าจะเริ่มโครงการในเดือนมีนาคม ปี 2021 และแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้โครงการล่าช้าและต้องขยายเวลาออกไปอีกสองครั้งจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 โดยไม่มีการเพิ่มต้นทุน UN Habitat ได้นำองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกันทั้งสามประการไปดำเนินการในพื้นที่ 45 แห่ง โรงเรียน 257 โรง และคลินิกสุขภาพชุมชน 42 แห่งในเขตเมืองย่อยทั่วย่างกุ้ง จากการประมาณการของ UN-Habitat โครงการนี้เป็นประโยชน์โดยตรงต่อครัวเรือนประมาณ 25,000 ครัวเรือน ซึ่งคิดเป็นรายบุคคลได้ 102,500 คนและนักเรียน 170,777 คน

การสำรวจที่ดำเนินการหลังทำโครงการเสนอให้เพิ่มความรู้และการตระหนักถึงแนวปฏิบัติด้านการจัดการสุขาภิบาลและจัดการขยะ เนื่องจากแนวปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาในองค์ประกอบ B ตัวอย่างเช่น มีผู้ให้สัมภาษณ์น้อยกว่าร้อยละ 17 ที่มีทั้งผู้ได้ประโยชน์และไม่ได้ประโยชน์จากโครงการบอกว่าตนเองแยกขยะก่อนที่จะมีแนวปฏิบัติตามโครงการ อย่างไรก็ตาม มีผู้ได้ประโยชน์ร้อยละ 96 อ้างว่าตนปฏิบัติการแยกขยะภายหลังมีแนวปฏิบัติ นอกจากนี้ แม้จะมีผู้ได้ประโยชน์ร้อยละ 79 มีความรู้เรื่องการทำปุ๋ยหมักเพียงจำกัดก่อนทำโครงการ แต่เมื่อสิ้นสุดโครงการ ร้อยละ 95 ได้รับความรู้มากเพียงพอที่จะอธิบายหรือบรรยายการทำปุ๋ยหมักได้ และมากกว่าครึ่งเริ่มต้นการทำปุ๋ยหมักเป็นรายบุคคลหรือในชุมชน

การเรียนรู้

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าจุดสนใจของโครงการสอดคล้องกับค่านิยมของผู้ร่วมดำเนินการโครงการและหน่วยงานด้านเงินทุน รวมทั้งพันธมิตรในท้องถิ่น

โครงการนี้สอดคล้องกับคำสั่งของ UN-Habitat ในการช่วยเหลือชุมชนที่เปราะบางในย่างกุ้ง และความพยายามร่วมกับสหประชาชาติในการรับมือ COVID-19 โดยได้รับการออกแบบตามกรอบการตอบสนองทางเศรษฐกิจและสังคม (Socio-Economic Response Framework, SERF) ของสหประชาชาติต่อ COVID-19 ในเมียนมาร์ และแผนการเตรียมความพร้อมและการตอบสนองของประเทศ (Country Preparedness and Response Plan, CPRP) ในการดำเนินงาน โครงการนี้เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้เสียของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงรัฐบาลภูมิภาคย่างกุ้ง (YRG) คณะกรรมการพัฒนาเมืองย่างกุ้ง (YCDC) และกรมการพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัย (DUHD)

กระบวนการตรวจสอบและประเมินผลที่ชัดเจน

โครงการได้รับการออกแบบพร้อมกรอบการประเมินผลและแผนสำหรับการประเมินขั้นสุดท้ายที่จะมีขึ้นเมื่อใกล้สิ้นสุดโครงการเพื่อตรวจสอบประสิทธิผล ประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และการทำงานในแง่ของการส่งมอบสิ่งที่วางแผนไว้ การสำรวจเพื่อตรวจติดตามได้ดำเนินการในเดือนมีนาคม 2023 เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบของโครงการและความยั่งยืนของการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาในองค์ประกอบ B โดยเฉพาะ ซึ่งจะครอบคลุมผู้ได้ประโยชน์ 345 คน ในสถานที่ 23 แห่งและผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์ 230 คนจากพื้นที่ใกล้เคียงที่มีการทำโครงการริเริ่มการจัดการขยะที่เป็นของแข็ง กระบวนการประเมินผลที่เคร่งครัดจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจสิ่งที่เรียนรู้สำหรับโครงการในอนาคต รวมถึงการรวบรวมความคิดเห็นจากผู้ได้ประโยชน์เกี่ยวกับช่องโหว่และแนวปฏิบัติที่ต้องการต่อไป

มีการออกแบบเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว

โครงการนี้ประกอบด้วยองค์ประกอบในการสร้างความรู้ที่ชัดเจน และมุ่งเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถและความเต็มใจของชุมชนท้องถิ่น เพื่อนำแนวปฏิบัติด้านสุขาภิบาลและการจัดการขยะที่ดีมาใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า จะมีการรักษาผลลัพธ์ไว้ในระยะยาวแม้หลังจากสิ้นสุดการให้เงินทุนแล้วก็ตาม ตัวอย่างเช่น การสำรวจเพื่อตรวจติดตามได้ชี้ให้เห็นว่าในขณะที่ผู้ได้ผลประโยชน์ร้อยละ 96 ระบุว่าพวกเขายินดีที่จะจ่ายค่าเก็บขยะครัวเรือน แต่มีเพียงร้อยละ 70 ของผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์ตอบเช่นเดียวกัน และผู้ได้ประโยชน์ร้อยละ 95 ยินดีแยกขยะของตนต่อไปหลังจากสิ้นสุดโครงการ แม้จะมีเพียงร้อยละ 16 เท่านั้นที่ทำการแยกขยะตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโครงการได้รับการออกแบบมาอย่างดี เพื่อชี้ให้เห็นและอธิบายถึงประโยชน์ของการจัดการขยะที่ดี

แหล่งข้อมูล/ข้อมูลเพิ่มเติม

  1. โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat) (2023) รายงานการตรวจติดตาม: กิจกรรมการจัดการขยะที่เป็นของแข็งในเขตเมืองย่อยแปดแห่งในย่างกุ้ง ดูได้ที่: https://unhabitatmyanmar.org/wp-content/uploads/2023/09/SWM-Monitoring-Report-Japan-SB-Project_v.24.pdf
  2. โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat) การเสริมสร้างความยืดหยุ่นในการรับมือ COVID-19 ผ่านการสนับสนุนโครงการ WASH และการจัดการขยะในชุมชนแออัดในเมือง ดูได้ที่: https://unhabitatmyanmar.org/?page_id=5021  

Other case studies

Other Relevant Case Studies

รัฐบาลบรูไนได้จัดสรรเงินจำนวน 18 ล้านดอลลาร์บรูไน (13.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)* เพื่อพัฒนา BruHealth ระยะที่ 2 และ 3 ในการจัดทำงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ 2023/24
การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้รับการดำเนินการด้วยการเงินแบบผสมผสาน โดยมีต้นทุนรวมอยู่ที่ 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการสนับสนุน 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากโครงการการเงินแบบผสมผสานของ Canada-IFC
นิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อดูแลทางด่วน (Toll Road Special Vehicle, BUJT) ที่เป็นผู้บริหารจัดการทางด่วน MBZ (MBZ Toll Road) ได้ขายหุ้นร้อยละ 40 ของบริษัทใน PT Jasamarga Jalanlayang Cikampek (JJC) มูลค่า 4.38 ล้านล้านริงกิตอินโดนีเซีย (291.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) *ให้ PT Margautama Nusantara (MUN) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทซาลิมกรุ๊ป (Salim Group Company)
Scroll to Top